หน้าเว็บ

ข่าวทันหุ้นวันนี้

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเดียว หลากประเด็น พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ

คอลัมน์: เรื่องเดียว หลากประเด็น
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
ชื่อตอน: หุ้นโน้มแกว่งย่ำฐาน รอจังหวะขึ้น
ดัชนีหุ้นไทยช่วงสั้นจะแกว่งย่ำฐานในกรอบ 1560-1605 จุด ระยะถัดไปโน้มฝ่าแนวต้านขึ้นไปแถว 1650 จุด ตามพัฒนาการของปัจจัยดังนี้

ประการแรก การคาดการณ์จังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

จีดีพีไตรมาส 4 ของสหรัฐขยายตัวช้าลง และต่ำกว่าคาด โดยโตเพียง 2.6% ชะลอตัวลงจากที่เติบโต 4.6% และ 5% ในไตรมาส 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัว 3.2% ในไตรมาส 4

การขยายตัวช้าลงของเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อต่ำ ยังผลให้กระแสเงินทุนบางส่วนเคลื่อนย้ายเข้าหาสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ราคาพันธบัตรสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งขึ้น ฉุดบอนด์ยีล10 ปี ร่วง 0.13% เหลือ 1.68% ขณะที่ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ดีด 23.3$ มาปิดอยู่ที่ 1279.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง ดาวโจนส์วันศุกร์ลดลง 251.90 จุด หรือ -1.45%

 ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตต่ำกว่าคาด แต่เขามองว่าระดับดังกล่าวถือว่าใช้ได้ โดยเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีปัจจัยที่สดใสมากมาย และเขาหวังว่าอัตราการว่างงานจะร่วงลงต่ำกว่าระดับ 5% ในไตรมาส 3 ปีนี้ จากล่าสุดที่ 5.6% พร้อมชี้ว่า เฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า

ก่อนหน้านั้น มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง ก่อให้เกิดแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นทั่วโลก

อย่างไรก็ดี แม้เฟดอยากขึ้นดอกเบี้ย แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย เอาเข้าจริงอาจต้องยืดเวลาออกจากกลางปี 58 ซึ่งจะทำให้เคลื่อนย้ายเงินทุนไปมาระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ผันผวน

ประเทศส่วนใหญ่ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะยูโรโซนและญี่ปุ่น หากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย จะเพิ่มแรงจูงใจให้เงินทะลักเข้าสหรัฐ ดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 แล้ว จะยิ่งแข็งค่าขึ้นไปอีก ขณะที่เศรษฐกิจโลกแผ่วจะกดดันภาคส่งออกของสหรัฐ

น่าสังเกตว่า บอนด์ยีลต่ำมาก แพ้เงินเฟ้อระยะยาว ในระยะถัดไปกระแสเงินทุนบางส่วนจะโยกกลับมาหาตลาดหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการ

ประการที่ 2 การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ระลอกใหม่ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)

กระแสวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด ทำให้อีซีบี ประกาศเมื่อวันที่ 22 ม.ค. จะทำคิวอี มูลค่า 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้ จนถึงเดือนเดือนกันยายน ปี 59 ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนที่ตลาดคาด แถมทำต่อเนื่องยาวนานกว่าที่ตลาดคาดไว้

ขณะที่ยูโรโซน ต้องเผชิญกับความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับกรีซ หลังจากพรรคซีริซา ซึ่งมีนโยบายต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด ชนะเลือกตั้งและก้าวขึ้นสู่อำนาจ พร้อมคำสัญญาว่าจะเจรจาหนี้ใหม่ ส่งผลให้มีความกังวลว่าอียูอาจยกเลิกเงินช่วยเหลือต่อกรีซ ซึ่งจะทำให้กรีซประสบกับภาวะผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งอาจทำให้กรีซออกจากยูโรโซน

อย่างไรก็ดี ผู้นำอียูยังหวังว่า กรีซและยูโรโซนจะสามารถหาทางประนีประนอมกันได้ แม้ผลเจรจายกแรกระหว่างกรีซและอียูเกี่ยวกับโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อกรีซ เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนยังไม่คืบหน้า   

เมื่ออีซีบีจะเริ่มทำคิวอีในเดือนมีนาคม ผนวกกับการทำคิวอีอย่างต่อเนื่องของบีโอเจ สภาพคล่องส่วนเกินระลอกใหม่จะไหลตลาดหุ้นทั่วโลก

น่าสังเกตว่า สถานการณ์ขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐดูเด่นกว่าภูมิภาคอื่น รวมถึงของอีเมอร์จิ้งที่เศรษฐกิจแผ่วลงมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริกส์ (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) กระแสเงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นอีเมอร์จิ้งจึงมีแนวโน้มไม่รุนแรงเหมือนช่วงหลายปีก่อนที่เศรษฐกิจของประเทศหลักย่ำแย่ แต่ของอีเมอร์จิ้งดูดีกว่ามาก  

อย่างไรก็ดี เสถียรภาพภายนอกของเศรษฐกิจไทยยังดูดี ไม่ว่าเป็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ หนี้สาธารณะ เป็นต้น แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวล่าช้า แต่ถ้าการเมืองยังคงมีเสถียรภาพ ตลาดทุนไทยยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากกระแสเงินทุนไหลเข้า แม้ไม่ใช่อันดับต้นๆ ก็ตาม

ประการที่ 3 การฟื้นตัวของราคาน้ำมันจะไปได้ไกลแค่ไหน

เมื่อวันศุกร์ น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $3.71 หรือ 8.33% ปิดที่ 48.24 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐประจำสัปดาห์ลดฮวบ 7% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี นักวิเคราะห์มองจำนวนแท่นขุดเจาะที่ลดลงเป็นสัญญาณว่าการร่วงลงของราคาน้ำมันจะส่งผลต่อการผลิตน้ำมันในอนาคต

   อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงถูกกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่พุ่งขึ้น 8.9 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 4.1 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐยังปรับขึ้น 30,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.213 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2526

ก่อนหน้านั้น กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียองค์ใหม่ประกาศหนุนนโยบายน้ำมันเดิม ที่มุ่งรักษาส่วนแบ่งการตลาดของโอเปค

ขณะที่รมว.คลังรัสเซีย ในฐานะประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ประเมินว่า ราคาน้ำมันจะไม่ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551-2552 และไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาอยู่เหนือ 100 ดอลลาร์ ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการร่วงลงของราคาน้ำมันจะยังคงยืดเยื้อยาวนาน

หุ้นกลุ่มพลังงานที่ลงมาลึก และส่วนใหญ่เทรดต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานระยะยาว คงกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

แม้โรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีจะขาดทุนจากสต็อกสินค้าจำนวนมาก แต่อัตรากำไรขั้นต้น ไม่ว่าจะเป็นค่าการกลั่น หรือสเปดปิโตรเคมี กลับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบร่วงตามน้ำมันดิบ ขณะที่ราคาสินค้าลงในอัตราที่ช้ากว่า

   

ประการที่ 4 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่ประเมินไว้ ถ่วงผลประกอบการของบริษัทที่พึ่งกำลังซื้อในประเทศ

อย่างไรก็ดี การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่และราคาน้ำมันที่ร่วงลงมาลึก จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป

สรุปว่า การลงทุนในตลาดหุ้นระยะ 3 เดือนข้างหน้า ยังมีแนวโน้มแกว่งขึ้น หนุนโดยการอัดฉีดเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค และเพิ่มผลประกอบการของภาคเอกชน

แนะหาจังหวะทยอยซื้อช่วงย่อหุ้นดังต่อไปนี้ AOT BEAUTY BGH BLA CK KBANK KTB TUF RS SAMART SAWAD SEAFCO (โปรดศึกษาเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์)

          พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หันเล่นหุ้นมือใหม่