หน้าเว็บ

ข่าวทันหุ้นวันนี้

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

งบแบงก์ไตรมาสแรกฉลุย กำไรสุทธิ5.2หมื่นล้าน

งบแบงก์ไตรมาสแรกฉลุย
กำไรสุทธิ5.2หมื่นล้าน



11 แบงก์พาณิชย์โชว์กำไรสุทธิไตรมาสแรก  5.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.08% SCB แชมป์ตลอดกาล กรุงศรีฯกำไรเพิ่มขึ้น 32% ขณะที่แบงก์กรุงเทพยังแจ๋ว ด้านแบงก์ขนาดเล็กแย่แนวโน้มเป็นขาลง เอ็นพีแอลพุ่ง

งบไตรมาสแรกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น   52,431 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิช่วงเดียวกันของปีก่อน 50,818 ล้านบาท โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 1,613 ล้านบาท หรือ 3.08% ขณะที่เอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2558 จานวน 9,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 442 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 จากไตรมาส 1 ปี 2557 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 2,142 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.7 และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 964 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10.2

ด้านคุณภาพสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 47,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,427 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2557 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 2.2

นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB  เผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/58 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรก่อนกันสำรองการด้อยค่าและภาษีเงินได้13,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 483  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.61% มีกำไรสุทธิ 8,154 ล้านบาท ลดลง 323 ล้านบาท หรือลดลง 3.81% กำไรในส่วนที่เป็นของธนาคารมี 7,864 ล้านบาท ลดลง 434 ล้านบาท หรือลดลง 5.23% จากไตรมาส 1/57

ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิไตรมาส 1/58 เท่ากับ19,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.90% มีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิ 7,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 931 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.79% มีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,953,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 57 จำนวน 992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.05%  โดยเพิ่มจากลูกค้าภาคเอกชนและรายย่อย และมียอดเงินฝาก 2,196,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45,298 ล้านบาท หรือเพิ่ม 2.11%  ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเงินฝากประเภทออมทรัพย์ไตรมาส 1/58 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) 68,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,568 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.38% ส่วนใหญ่มาจากลูกค้า SME ขนาดเล็ก และลูกค้ารายย่อยที่อ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ธนาคารจะรักษาอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับที่เหมาะสมเท่ากับ 1.52%

ทั้งนี้ ธนาคารได้กันสำรองไว้  3,724 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะสมกับฐานสินเชื่อตามเกณฑ์ความระมัดระวังและรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ธนาคารมีเงินกองทุนรวมจำนวน 273,044 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.15% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งคำนวณตามหลักเกณฑ์ Basel III ของธนาคารแห่งประเทศไทย

นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  หรือ BAY กล่าวว่า ธนาคารมีผลกำไรสุทธิของไตรมาส 1/58 จำนวน 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 57 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อันเป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในธุรกิจขนาดใหญ่และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เป็นผลมาจากการรับโอนธุรกิจจากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด (BTMU) สาขากรุงเทพฯส่วนการเติบโตของเงินให้สินเชื่อช่วงไตรมาส 1/58 เพิ่มขึ้น 21.9% คิดเป็นสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 222 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 57 การเติบโตของเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 20.6% หรือเพิ่มขึ้น 173 พันล้านบาท

เมื่อเทียบกับปี 57 กำไรสุทธิอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากไตรมาส 4/57 หรือเพิ่มขึ้น 32.6% จากไตรมาส1/57 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.21% และเป็นไปตามคาดหมายเป็นผลมาจากสัดส่วนเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 8.2% จากไตรมาส 4/57 และ 24.5% จากไตรมาส 1/57 ปัจจัยหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้กู้ยืม รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมบริหารความมั่งคั่ง กองทุน และธุรกิจหลักทรัพย์  อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นมากอยู่ที่ 46.3% เมื่อเทียบกับ 47.4% ในไตรมาส 4/57 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ 2.36% ต่อเงินให้สินเชื่อรวมเมื่อเทียบกับ 2.79% ปี 57 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 139.2% อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% เมื่อเทียบกับ 14.7% ปี 57

สำหรับไตรมาสแรกของปี 58 เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 21.9% จากสิ้นเดือนธ.ค. 57 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเงินให้สินเชื่อ เป็นผลมาจากการรับโอนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่จากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิฯ สาขากรุงเทพฯ มายังธนาคาร ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 58 สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ของสินเชื่อทั้งหมด          เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 20.6% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2557 การเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับโอนเงินรับฝากจาก BTMU สาขากรุงเทพฯ ขณะที่สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อ ทวงถาม (CASA) ต่อสัดส่วนเงินรับฝากทั้งหมดอยู่ที่ระดับ 52.5% ณ สิ้นเดือนมี.ค. 58 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.21% ยังเป็นส่วนต่างที่น่าพอใจ และเป็นไปตามคาดหมาย เป็นผลมาจากสัดส่วนเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น       

 “กรุงศรีฯมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในไตรมาสแรกของปีนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังฟื้นตัวช้า”

ทั้งนี้ ความสำเร็จในการรับโอนกิจการทั้งหมดของ BTMU สาขากรุงเทพฯ มายังธนาคารได้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของกรุงศรี อีกทั้งยังมีสัดส่วนสินเชื่อที่สมดุลมากขึ้น นับได้ว่ากรุงศรีฯมีรากฐานที่แข็งแกร่งซึ่งจะเอื้อให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว  ณ วันที่ 31 มี.ค. 58 กรุงศรีฯเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 1.2 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.0 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.6 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 175.6 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 15.1% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 คิดเป็น 12.5%

ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อย หรือ SCB  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 1.32 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.87 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.31 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.86 บาท

คุณภาพสินเชื่อในไตรมาสที่ 1/58 ธนาคารตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้จำนวน 3,601 ล้านบาทหรือคิดเป็น0.80% ของสินเชื่อทั้งหมดเพิ่มขึ้น 12.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วโดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.13% ณ สิ้นเดือนมี.ค. 58 เพิ่มขึ้นจาก 2.11% จาก ณ สิ้นเดือนธ.ค. 57 ขณะที่อัตราสำรองรวมต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับคงที่คือ 138.1% ณ สิ้นเดือนมี.ค. 58

ธนาคารกสิกรไทยและบริษัทย่อย   หรือ KBANK  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.18 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.19 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 4.99 บาท

สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (% NPL gross) อยู่ที่ระดับ 2.26% ขณะที่สิ้นปี 57 อยู่ที่ระดับ 2.24% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ 139.74% ขณะที่สิ้นปี 57 อยู่ที่ระดับ 141.38% 

นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 17.01% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 13.20%

ธนาคารทหารไทยและบริษัทย่อย  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 1.64 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0375 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0367 บาท

ไตรมาสนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวน 19,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,097 ล้านบาทเทียบกับเมื่อสิ้นปีที่แล้ว  ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.8% มาอยู่ที่ 3.0% ขณะที่ธนาคารยังคงความแข็งแกร่งของสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ที่ 150%

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงดำรงระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III ที่สูงที่อัตรา 17.8% โดยเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 10.9% ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6%

บริษัททุนธนชาตและบริษัทย่อย  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 1.33 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.32 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาท คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น NPL ลดลง 6% QoQ เหลือ 3.07 หมื่นล้านบาท หรือ 4.07% ของสินเชื่อรวม จากการขาย NPL และการปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่ม 1.65 พันล้านบาท

บริษัททิสโก้ฯและบริษัทย่อย  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 1.19 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.49 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 934.69 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.17 บาท

ตั้งการสำรองค่าเผื่อหนี้สูญฯลดลง เหลือ 972 ล้านบาท ในไตรมาส 1/58 ลดลง 17% YoY สะท้อนการลดลงของการขาดทุนในบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ (ส่วนใหญ่จากรถยนต์มือสอง) ในไตรมาสนี้ ซึ่งการสำรองค่าเผื่อหนี้สูญฯนี้เป็นไปตามที่เราคาดไว้ที่ 980 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 2.65% ในปลายเดือนมีนาคม

ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 664.09 ล้านบาท ลดลง 8.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินเชื่อไตรมาส 1/58 หดตัวลง 1.9% จากสิ้นปี 57 ซึ่งสินเชื่อเช่าซื้อลดลง 2.9% แต่สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อบรรษัท ยังขยายตัวได้ 0.8% และ 0.5

หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ระดับ 6.5% เพิ่มขึ้นจาก 5.6% ในสิ้นปี 57 โดย NPLs เพิ่มขึ้นจากการจัดชั้น เชิงคุณภาพของลูกหนี้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก

แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ปและบริษัทย่อย   หรือ LHBANK ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 328.21 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0241 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 226.24 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.017 บาท หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ระดับ 2.3%

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทย่อย  ไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 130.6 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0062 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 440.87 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0209 บาท สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 3.7 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หันเล่นหุ้นมือใหม่